ประวัติ ของ เอ็ม1 เอบรามส์

การพัฒนา

เอ็กซ์เอ็ม1 เอบรามส์ขณะทำการสาธิตในรัฐเคนตักกี้เมื่อปีพ.ศ. 2552

ความพยายามครั้งแรกที่จะแทนที่รถถังเอ็ม60 แพทตันคือเอ็มบีที-70 ที่พัฒนาขึ้นด้วยการร่วมมือกับเยอรมนีตะวันตกในทศวรรษที่ 2503 เอ็มบีที-70 นั้นเป็นสิ่งที่ใหม่และมีแนวคิดหลายอย่างซึ่งได้พิสูจน์ว่าไม่ประสบความสำเร็จ ผลต่อมาคือโครงการที่ถูกยกเลิกไป ต่อมาสหรัฐก็เริ่มเอ็กซ์เอ็ม803 ซึ่งไม่ต่างอะไรจากรถถังเอ็มบีที-70 แต่เป็นรุ่นที่ลดความซับซ้อนและราคาลง[8]

สภาคองเกรสได้ยกเลิกเอ็มบีที-70 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2513[9]และเอ็กซ์เอ็ม803 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515[10] และโอนงบประมาณไปที่เอ็กซ์เอ็ม815 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์เอ็ม1 เอบรามส์ตามชื่อนายพลเครกตัน เอบรามส์ ต้นแบบถูกส่งมอบในปีพ.ศ. 2519 โดยไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์และเจเนรัล มอเตอร์สโดยติดตั้งอาวุธเป็นปืนใหญ่โรยัล ออร์ดแนวซ์ แอล7 ขนาด 105 ม.ม.ที่เทียบเท่ากับของลีโอพาร์ด 2 การออกแบบไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์ถูกเลือกให้ได้รับการพัฒนาต่อไปให้เป็นรถถังเอ็ม1 ในปีพ.ศ. 2522 เจเนรัล ไดนามิกส์ก็ได้ซื้อบริษัทไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์

มีเอ็ม1 เอบรามส์จำนวน 3,273 คันที่ถูกผลิคออกมาในช่วงพ.ศ. 2522-2528 และเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2523 มันมีอาวุธคือปืนใหญ่รถถังโรยัล ออร์ดแนนซ์ แอล7 ขนาด 105 ม.ม.ที่ผลิตตามใบอนุญาต รุ่นที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมเอ็ม1ไอพีที่ออกตัวในปีพ.ศ. 2527 เอ็ม1ไอพีถูกใช้ในการประกวดแข่งขันรถถังของแคนาดาเมื่อปีพ.ศ. 2528 และ 2530

มีเอ็ม1เอ1 เอบรามส์ประมาณ 5,000 คันที่ถูกผลิตออกมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529-2535 และมีจุดเด่นที่ปืนเอ็ม256 ขนาด 120 ม.ม.ที่ผลิตโดยไรน์เมทัล เอจีของเยอรมนีเพื่อใช้กับลีโอพาร์ด 2 เกราะที่แข็งแกร่ง และระบบป้องกันนิวเคลียร์ เคมี ชีวภาพ (นชค.)

โรงงานผลิตในโอไฮโอปัจจุบันเป็นผู้ผลิตเอบรามส์[11] และก่อนหน้านั้นคือโรงงานในมิชิแกนเมื่อปีพ.ศ. 2525-2539

สงครามอ่าวเปอร์เซีย

เมื่อเข้าประจำการในทศวรรษที่ 2523 เอบรามส์ก็เข้าทำหน้าที่ร่วมกับเอ็ม60เอ1และเอ3 และรถถังของนาโต้ในการซ้อมรบมากมายในช่วงสงครามเย็น การซ้อมรบเหล่านี้เกิดขึ้นในทางตะวันตกของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมันตะวันตก แต่ก็รวมทั้งในประเทศอื่นๆ อย่างเกาหลีใต้ ในการฝึกเหล่านี้ลูกเรือของเอบรามส์ได้พัฒนาทักษะของพวกเขาเพื่อใช้จัดการกับทหารและยุทรโธปกรณ์ของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามในปีพ.ศ. 2534 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายลงและเอบรามส์ก็พบหนทางของมันในตะวันออกกลาง

เอบรามส์ยังคงไม่ได้รับการทดสอบในการรบจนกระทั่งถึงสงครามอ่าวในปีพ.ศ. 2534 เอ็ม1เอ1 ทั้งหมด 1,848 คันถูกส่งเข้าซาอุดิอาระเบีย เอ็ม1เอ1นั้นเหนือชั้นกว่ารถถังที-55 และที-62 ของอิรักที่ผลิตโดยโซเวียต เช่นเดียวกันกับรถถังที-72 และไลออนออฟบาบีลอน ที-72 นั้นเหมือนกับรถถังรุ่นส่งออกทั่วไปของโซเวียตคือ ไม่มีเกราะแบบหลายชั้น และระบบควบคุมการยิงที่ด้อยกว่า เอ็ม1เอ1 เอบรามส์ จึงมีเอ็ม1เอ1 เพียง 23 คันเท่านั้นที่เสียหายร้ายแรงในสงครามอ่าว[12] และมีเพียงคันเดียวเท่านั้นที่สูญเสียลูกเรือไป บางคันได้รับความเสียหายเล็กน้อย มีเอบรามส์เพียงไม่กี่คันที่ถูกศัตรูยิง และมีเพียงคันเดียวที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เอ็ม1เอ1 สามารถจัดการเป้าหมายได้เกินระยะ 2,500 เมตร ด้วยระยะนี้ทำให้รถถังโซเวียตหมดโอกาสในปฏิบัติการพายุทะเลทราย เพราะว่าระยะหวังผลของรถถังโซเวียตของอิรักนั้นต่ำกว่า 2,000 เมตร (รถถังของอิรักไม่สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังได้เหมือนของโซเวียต) นั่นหมายความว่าเอบรามส์สามารถยิงใส่รถถังของศัตรูได้ก่อนที่พวกนั้นจะเข้าสู่ระยะยิง ในอุบัติเหตุการยิงใส่พวกเดียวกันเองเกราะของป้อมปืนนั้นสามารถรอดจากกระสุนเจาะเกราะพลังงานจลน์ของรถถังเอ็ม1เอ1 อีกคันได้ ไม่เหมือนกับเกราะด้านข้างของลำตัวกับเกราะด้านหลังของป้อมปืนซึ่งถูกทำลายโดยการยิงจากพวกเดียวกันเองที่ใช้กระสุนยูเรเนียมในยุทธการนอร์ฟอล์ก[13]

การพัฒนาในช่วงสงคราม

เอ็ม1เอ2 คือการพัฒนาขั้นต่อไปของเอ็ม1เอ1 ซึ่งมีกล้องตรวจการณ์ความร้อนของผู้บังคับรถ ("Commander Independent Thermal Vision, CITV") ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในแบบดิจิตอล ,ระบบหน้าจอแยกของพลขับ (Driver Independent Display, DID) ระบบเอสอีพีของเอ็ม1เอ2 หรือชุดเสริมระบบ (System Enhancement Package, SEP) ซึ่งได้เพิ่มแผนที่ดิจิตอล ความสามารถด้านเอฟบีซีบี2 (FBCB2) และระบบทำความเย็นที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ลูกเรืออยู่ในสภาพอุณหภูมิที่เหมาะสมพร้อมกับระบบหลากคอมพิวเตอร์

การพัฒนาเพิ่มเติมยังรวมทั้งเกราะกันกระสุนยูเรเนียม ระบบที่ทำให้รุ่นเอ1 เหมือนเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด (เอ็ม1เอ1 เอไอเอ็ม) ชุดเสริมดิจิตอลสำหรับเอ1 (เอ็ม1เอ1ดี) โปรแกรมพื้นฐานที่ทำให้ทั้งของกองทัพบกและนาวิกโยธินสหรัฐเท่าเทียมกัน (เอ็ม1เอ1เอชซี) และการพัฒนาด้านไฟฟ้าสำหรับเอ2 (เอ็ม1เอ2 เอสอีพี)

เอ็ม1เอ1 บางคันได้รับการพัฒนาด้านเกราะในปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์ ปฏิบัติการพายุทะเลทราย และในบอสเนีย มันสามารถติดตั้งเครื่องกวาดทุ่นระเบิดได้หากจำเป็น โครงสร้างของเอ็ม1 ยังเป็นต้นแบบให้กับยานวิศวกรรมรบกริซลี่และเอ็ม104 วูฟเวอรีน

มีเอ็ม1 และเอ็ม1เอ1 มากกว่า 8,800 คันที่ถูกผลิตขึ้นมาคันละ 2.35-4.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นนั้นๆ

สงครามอิรัก

เอ็ม1เอ1 ขณะทำภารกิจลาดตระเวนในอิรักเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547

การรบต่อมาเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2546 เมื่อกองกำลังสหรัฐเข้าบุกอิรักและขับไล่ผู้นำซัดดัม ฮุสเซนของอิรักออกจากประเทศ เมื่อถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 มีเอบรามส์ประมาณ 80 คันที่เสียหายจนไม่สามารถทำงานได้โดยศัตรู[14] กระนั้น ในปฏิบัติการบุกก็ไม่มีลูกเรือของเอบรามส์คนใดที่เสียชีวิต แม้ว่าการครอบครองที่เกิดขึ้นภายหลังทำให้พวกเขาจำนวนมากถูกสังหารโดยพลซุ่มยิงและกับระเบิด

ความสำเร็จที่ไม่สมดุลที่สุดของเอ็ม1เอ2คือการทำลายรถถังที-72 ไลออนออฟบาบิลอน 7 คันในการรบระยะใกล้ที่ดุเดือด (ด้วยระยะน้อบกว่า 46 เมตร) ใกล้กับเมื่อมาห์เมาดิยาห์ซึ่งห่างจากแบกแดดไปทางใต้ 29 กิโลเมตร โดยฝ่ายอเมริกาไม่มีการสูญเสียเลย[15] นอกจากอาวุธขนาดหนักของเอบรามส์ ลูกเรือบางคนได้เพิ่มอาวุธต่อต้านรถถังพาดไหล่เอ็ม136 เอที4ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาอาจเจอกับรถถังของศัตรูในเขตเมื่องซึ่งปืนใหญ่รถถังไม่สามารถเล็งได้

ด้วยบทเรียนจากปฏิบัติการพายุทะเลทราย เอบรามส์และยานรบอื่นๆ ของสหรัฐที่ใช้ในการรบจะติดตั้งแผงระบุฝ่ายเพื่อป้องกันการยิงพวกเดียวกันเอง พวกมันจะถูกติดตั้งบนด้านข้างและด้านท้ายของป้อมปืน โดยแผงดังกล่าวจะมีภาพกล่องสี่มุมซึ่งติดตั้งอยู่บนแต่ละด้านของป้อมปืน (อย่างที่เห็นในรูปด้านบน) เอบรามส์บางคันก็จะติดตั้งที่เก็บเสบียงเพิ่มที่ด้านหลังของป้อมปืนเพื่อให้ลูกเรือนั้นบรรทุกของได้มากขึ้น

เอบรามส์จำนวนมากถูกทำลาย (เฉพาะคันที่ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้) โดยพวกเดียวกันเองเพื่อไม่ให้พวกมันถูกยึด โดยปกติแล้วจะใช้เอบรามส์อีกคันเพื่อทำลาย ซึ่งพวกมันมักไม่ค่อยถูกทำลายโดยฝั่งตรงข้าม [16]

เอบรามส์ส่วนใหญ่มักได้รับความเสียหายจากระเบิดไออีดี[17]

เอบรามส์บางคันได้รับความเสียหายขณะที่ทหารราบฝ่ายอิรักเข้าบุก บ้างก็ใช้เครื่องยิงจรวดยิงเข้าใส่ที่สายพาน ด้านหลัง และด้านบน ส่วนรูปแบบอื่นั้นจะเป็นการใช้ปืนกลหนักยิงเช้าใส่จุดสำคัญ[18][19]

นอกจากนี้ยังมีลูกเรือของเอบรามส์จำนวนมากที่ถูกสังหารโดยพลซุ่มยิงในขณะที่พวกเขาโผล่ออกมาจากป้อมปืน

เนื่องมาจากความเสียเปรียบของมันเมื่ออยู่ในเมือง จึงมีการสร้างชุดอุปกรณ์อยู่รอดในเขตเมืองของรถถังหรือทัสค์ (Tank Urban Survival Kit, TUSK) ขึ้นมา ซึ่งเอบรามส์บางคนัใช้ มันมีแนมโน้มที่จะเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเมือง

ในอนาคต

ระบบปืนหุ้มเกราะ เอ็ม8 ถูกเชื่อว่าจะเข้ามาร่วมกับเอบรามส์ในกองทัพสหรัฐสำหรับการรบที่เข้มข้นน้อยกว่าเมื่อต้นปีพ.ศ. 2533 คันต้นแบบถูกสร้างขึ้นแต่โครงการก็ถูกยกเลิกไป ระบบปืนเคลื่อนที่ เอ็ม1128 ที่มี 8 ล้อถูกออกแบบขึ้นมาในทางเดียวกัน มันได้เข้าสู่ประจำการและพบว่ามันอ่อนแอ

ระบบรบในอนาคตของกองทัพสหรัฐต้องการหารถถังเข้ามาแทนที่เอบรามส์และโครงการก็ถูกตัดออกจากงบประมาณของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

เอ็ม1เอ3 เอบรามส์เป็นการออกแบบในช่วงแรก[20][21] กองทัพสหรัฐต้องการสร้างต้นแบบในปีพ.ศ. 2557 และเริ่มทำให้เอ็ม1เอ3 พร้อมเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2560

โครงการยานรบภาคพื้นดิน บีซีทีของกองทัพสหรัฐที่กำลังพัฒนา อาจเข้ามาแทนที่เอ็ม1 ทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม กองทัพกล่าวว่าเอบรามส์ยังคงประจำการอยู่ไปจนถึงปีพ.ศ. 2593

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอ็ม1 เอบรามส์ http://www.anao.gov.au/director/publications/audit... http://tecnodefesa.com.br/m-1-abrams-105-mm-tanque... http://usmilitary.about.com/od/armyweapons/a/abram... http://www.accessmylibrary.com/coms2/summary_0286-... http://www.army-technology.com/news/newsrussia-t90... http://www.army-technology.com/projects/abrams/ http://www.army-technology.com/projects/abrams/ind... http://www.armyrecognition.com/june_2012_new_army_... http://www.armyrecognition.com/united_states_army_... http://www.armytimes.com/news/2009/09/SATURDAY_arm...